วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

ตอนที่ 4 – เที่ยวปารีส

สวัสดีค่ะ พบกันอีกครั้งนะคะ ตามที่ผู้เขียนได้สัญญาไว้ว่า คราวนี้จะเล่าเรื่องการเที่ยวกรุงปารีสในรูปแบบส่วนตั๊ว...ส่วนตัว หลังจากที่ผู้เขียนได้ผ่านการเรียนภาษาที่เมืองรอชฟอรต์เป็นเวลา 4 เดือน และมีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงเรียนนายร้อยแซงต์ซีร์ ที่ เมืองโกเอ็ตกิด็องป็นเวลา 1 สัปดาห์แล้ว แต่ผู้เขียนไม่ยอมให้ประสบการณ์ต่างแดนครั้งนี้จบลงง่าย ๆ หรอกค่ะ

เนื่องจากปกติแล้ว เราจะได้รับสิทธิลาหลังจบการศึกษาเป็นเวลา 23 วันทำการ ผู้เขียนจึงตัดสินใจลากิจตามสิทธิที่ได้รับเป็นเวลา 19 วัน เพื่อจะท่องเที่ยวเก็บเกี่ยวความประทับใจเพิ่มเติมอีก สัปดาห์แรกก็หมดไปกับการเยี่ยมชม รร.นายร้อยแซงต์ซีร์ แล้ว สัปดาห์ต่อมา ผู้เขียนจึงชวนน้องสาวให้บินตามไปเที่ยวปารีสด้วยกันเพื่อเป็นการรำลึกความหลังสมัยที่คุณพ่อของผู้เขียนได้รับทุนไปศึกษาที่วิทยาลัยเหล่าทัพ (Ecole Militaire) เมื่อประมาณ 16 ปีที่แล้ว ครั้งนั้น พวกเราไปอยู่ด้วยกันทั้งครอบครัวเป็นเวลา 9 เดือน ผู้เขียนซึ่งขณะนั้นยังเป็นละอ่อนวัยเพียง 16 ปี จึงได้มีโอกาสไปเรียนภาษาและใช้ชีวิตที่ปารีสมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเท่าใดนัก คราวนี้มีโอกาสอีก จึงขอตะลุยเที่ยวฟื้นความจำอีกสักครั้ง

หลังจากที่ผู้เขียนลงจากรถไฟ TGV ที่ขึ้นมาจากเมืองแรนส์เมื่อจบการเยี่ยมชม รร.นายร้อยแซงต์ซีร์แล้ว ผู้เขียนก็ได้รับความกรุณาจาก ผชท.ไทย/ปารีส พ.อ.รักศักดิ์ โรจน์พิมพ์พันธุ์ ซึ่งเดินทางมารับผู้เขียนที่สถานีรถไฟมงต์ปาร์นาส (Montparnasse) ด้วยตนเอง จากนั้น ก็พาผู้เขียนไปที่บ้านของ ผชท. ซึ่งนอกจากท่านจะกรุณาให้ที่พักแล้ว ยังดูแลเรื่องอาหารการกินและสวัสดิภาพต่าง ๆ อีกด้วย บ้านของ ผชท.ตั้งอยู่ชานเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ที่เรียกว่า Créteil ผู้เขียนได้รับการดูแลอย่างดี รวมไปถึงน้องสาวที่บินตามมาสมทบด้วย ผู้เขียนต้องขอกราบขอบพระคุณท่าน ผชท.และภรรยาไว้ ณ ที่นี้ รวมถึง ‘น้องข้าวสวย’ กับ ‘น้องข้าวปั้น’ ลูก ๆ ของ ผชท.ที่ทำหน้าที่รับแขกได้อย่างมืออาชีพอีกด้วย น่ารักจริง ๆ ค่ะ นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้พบกับ นนร.อีก 2 นายที่กำลังเรียนหลักสูตรเตรียมความพร้อมก่อนเข้า รร.นายร้อยแซงต์ซีร์ คือ นนร.จักรกริช เสือโต และ นนร.ธนภัทร เดี่ยววิไล ซึ่งทั้งคู่ก็มีน้ำใจ เสนอตัวช่วยพาเที่ยวด้วย แต่ผู้เขียนเกรงใจ และสามารถเที่ยวเองได้ (แหม..ระดับผู้เขียนซะอย่าง) ก็เลยไม่อยากกวนค่ะ

ผู้เขียนและน้องสาวใช้เวลา 1 สัปดาห์เต็ม ๆ ในการตะลุยเที่ยวกรุงปารีส การเที่ยวปารีสด้วยตนเองนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะระบบขนส่งมวลชนของที่นี่ถือได้ว่าอยู่ในระดับสุดยอด วิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุด คือ รถไฟใต้ดิน (métro) ซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมทั่วปารีสยิ่งกว่าใยแมงมุมเสียอีกค่ะ นอกจากนี้ ยังเชื่อมต่อกับรถไฟ RER ที่วิ่งเชื่อมระหว่างชานกรุงปารีสอีกด้วย ดังนั้น หากเรารู้วิธีการขึ้นรถไฟใต้ดินและรู้จักวิธีการต่อสายรถไฟ ก็มั่นใจได้ว่า ต่อให้เดินเที่ยวตุหรัดตุเหร่พลัดหลงพเนจรอย่างไร ในที่สุด เราก็จะต้องกลับถึงบ้านแน่นอน เพราะแทบทุกถนน จะมีหลุมรถไฟใต้ดินให้เราเดินลงทั้งนั้น

ว่าแล้ว ผู้เขียนก็วางแผนการเที่ยวทันที เช้าวันแรกก็เดินจากบ้าน ผชท.ไปที่สถานีรถไฟ RER ซื้อตั๋วรถไฟแบบใช้ได้ทั้งสัปดาห์ ครอบคลุมพื้นที่ถึงโซน 3 ซึ่งจะทำให้สามารถกลับบ้านที่ชานเมืองแห่งนี้ได้ด้วย (ถ้าเราอยู่ในตัวเมืองปารีส ใช้แบบโซน 2 ก็พอค่ะ) แล้วผู้เขียนก็ใช้ปากกาวง ๆ ในแผนที่เลย ว่าต้องการจะไปเที่ยวสถานที่สำคัญ (อันมากมาย) ที่ไหนบ้าง แล้วก็ดูว่าสถานที่นั้นใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดินสถานีไหน ก็ไปโผล่ได้เลย ที่แน่ ๆ พลาดไม่ได้สำหรับการเที่ยวปารีสก็คงจะต้องเป็น หอไอเฟล ประตูชัย ถนนชองป์เซลิเซ มหาวิหารโนเทรอะดาม พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เป็นต้น เอาเป็นว่า ผู้เขียนจะเล่าถึงสถานที่ต่าง ๆ แบบสั้น ๆ ก็แล้วกันนะคะ

หอไอเฟล (Tour Eiffel) เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีสไปเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ในปี ค.ศ.1889 ที่มีการสร้างหอไอเฟลเพื่อใช้ในงานแสดงสินค้า EXPO นั้น ชาวปาริเซียงไม่ชอบหอเหล็กสูงน่าเกลียดแห่งนี้เลย หอไอเฟลถูกสร้างด้วยเหล็กกล้าที่ยึดด้วยน็อตทั้งสิ้นกว่า 2,500,000 ตัว เพราะเดิมทีจะต้องถูกรื้อถอนออกหลังจบงานแสดงสินค้า แต่ในที่สุดก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่อย่างที่เห็น หอไอเฟลมีความสูง 320 เมตร และมีลิฟต์ที่สามารถพานักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวได้ถึง 3 ชั้น ด้วยค่าตั๋วราคาต่าง ๆ กันค่ะ และตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ในเวลากลางคืน จะมีการเปิดไฟระยิบระยับทั่วทั้งหอสวยงามมาก ๆ เป็นระยะเวลา 1 นาที ทุก ๆ 1 ชั่วโมงค่ะ นักท่องเที่ยวจึงตั้งกล้องรอถ่ายภาพกันมากมาย ต้องขอใช้คำว่า ‘อลังการ’ ค่ะ

ประตูชัย (Arc de Triomphe) เป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งที่สำคัญของปารีส สร้างขึ้นเพื่อเป็นการฉลองชัยในสงคราม สมัยพระเจ้านโปเลียน โบนาปาร์ต ภายใต้โค้งประตูมหึมานี้ มีอนุสรณ์รำลึกถึงทหารนิรนามที่พลีชีพในสงครามโลก โดยมีเปลวไฟที่ลุกอยู่ไม่มีวันดับเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้พลีชีพเหล่านั้น ประตูชัยนี้ เป็นศูนย์กลางของถนนถึง 12 สายที่มาบรรจบกัน หากมองจากมุมสูงจะเห็นเป็นเหมือนรูปดาว 12 แฉก บริเวณนี้จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เอตวล (Etoile) ซึ่งแปลว่า ดวงดาว ค่ะ

หนึ่งในถนน 12 สาย สายที่สำคัญที่สุด มีชื่อว่า ถ.ชองป์เซลิเซ (Avenue des Champs-Elysées) เป็นถนนที่ใช้สวนสนามฉลองวันชาติฝรั่งเศสในวันที่ 14 ก.ค. ของทุกปี ถนนนี้ ใคร ๆ มักจะรู้จักในฐานะถนนสายช็อปปิ้ง มีร้านรวงสินค้าระดับแบรนด์เนมอยู่มากมาย ที่พลาดไม่ได้คงเป็นร้าน Louis Vitton ซึ่งผู้เขียนเข้าไปเดินเล่นมาแล้ว (แต่ไม่มีปัญญาซื้อ) นอกจากนี้ โรงละคร Lido อันเลื่องชื่อก็ตั้งอยู่ที่ถนนนี้ สนง.การบินไทยที่ได้ชื่อว่าสวยงามมากแห่งหนึ่ง เพราะมีส่วนที่เป็นเรือนไทยหรูหรา แถมมีรถตุ๊กๆ คริสตัลทั้งคันตั้งโชว์อยู่ด้วย ก็อยู่บนถนนสายนี้เช่นกัน ยิ่งตอนกลางคืนแล้ว เหมาะกับการไปดูหนุ่มสาวชาวปารีสแต่งตัวสวยๆ ออกมาโชว์กันเต็มไปหมดเลยค่ะ หากใครได้ไปเที่ยวช่วงคริสตมาสหรือปีใหม่ ถนนสายนี้ก็จะประดับไฟอย่างตระการตาค่ะ

มหาวิหารโนเทรอะดาม (Cathédrale de Notre-Dame) เป็นอีกที่ที่พลาดไม่ได้ เพราะนอกเหนือจากความงามของวิหาร ซึ่งเป็นศิลปะแบบโกธิค เต็มไปด้วยภาพกระจกสีที่รับแสงจากภายนอก อันทำให้ภายในวิหารนั้นสวยงามอย่างมากแล้ว บริเวณลานด้านหน้าวิหาร ยังมีจุดที่เรียกว่า Point Zéro หรือหลักกิโลศูนย์ของปารีส ที่หลายคนเชื่อว่า หากได้มาเหยียบหลักกิโลนี้แล้วอธิษฐาน จะทำให้ได้กลับมาอีกครั้ง ใครอยากมาเที่ยวปารีสอีก ก็ต้องลองทำตามดูนะคะ แต่ทว่า แต่ละคนก็เชื่อต่างกันไป เพราะผู้เขียนเห็นบางคนใช้วิธีเดินวนรอบหลักกิโล 3 รอบแทน ก็แล้วแต่จะเชื่อค่ะ แต่ที่แน่ ๆ เมื่อ 16 ปีก่อน ผู้เขียนก็เคยมาอธิษฐานไว้ และก็ได้กลับมาอีกครั้ง (แล้วก็อธิษฐานซ้ำไว้แล้วด้วย)

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre) โอ้โห... สถานที่แห่งนี้ ผู้เขียนยังติดค้างใจไว้มากนัก เพราะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ผู้เขียนไปทีไร ก็ได้แต่วิ่ง ๆ ดูงานศิลปะที่สำคัญ ทั้งที่ใจจริงแล้ว อยากจะค่อย ๆ เดินพิจารณาผลงานศิลปะที่สนใจทีละชิ้นมากกว่า และคงต้องใช้เวลาหลายวันทีเดียว ผลงานที่นักท่องเที่ยวพลาดไม่ได้ ได้แก่ ภาพโมนาลิซา ซึ่งอันที่จริงแล้ว เป็นภาพเล็กนิดเดียว และมีนักท่องเที่ยวมุงอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ก็เป็นพวกรูปปั้นชื่อดังอย่าง Vénus de Milo และ Victoire de Samothrace โอย... ยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกเยอะเหลือเกินค่ะ นี่ขนาดยังวิ่งดูไม่ครบ ผู้เขียนก็เกิดอาการ ‘ขาลาก’ แบบไม่สามารถเดินต่อได้แม้แต่ก้าวเดียวแล้ว ไม่เป็นไร เอาไว้คราวหน้าค่ะ (ชีวิตยังมีหวัง) แล้วก็ต้องไม่ลืมไปดู ปิรามิดแก้ว ด้วยนะคะ ปิรามิดนี้ก็เคยเกือบจะถูกต่อต้านจากชาวปารีสในฐานะเป็นทรรศนะอุจาดอยู่เหมือนกัน แต่ต่อมาพอได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวแล้ว ก็เลยกลายเป็นจุดเด่นอีกแห่งหนึ่งไปค่ะ ยิ่งช่วงหลังๆ คนอ่านหนังสือ เรื่อง The Davinci Code กันมากมาย คนก็ยิ่งสนใจเที่ยวพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์มากขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ

อีกที่หนึ่งที่งดงามมาก คือ วิหารซาเครเกอร์เดอมงต์มารตร์ (Sacré-C¬œur de Montmartre) เป็นวิหารสีขาวตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขามงต์มารตร์ทางเหนือของกรุงปารีส มองแต่ไกลก็เห็นเด่นเป็นสง่า ด้านหลังของวิหารนี้ เป็นแหล่งชุมนุมศิลปิน เรียกว่า Place du Tertre มีศิลปินมาวาดภาพขายมากมาย เราสามารถไปนั่งให้เค้าวาดภาพเหมือนและเสร็จภายในไม่กี่นาที ที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวพลุกพล่านมากที่สุดเช่นกัน

พอลงจากเนินเขามงต์มารตร์มา เดินอีกนิดเดียว ก็จะถึงย่าน ปิกาล (Pigalle) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ มูแลงรูจ (Moulin Rouge) โรงระบำชื่อดัง และร้านรวงประเภทที่ผู้เขียนต้อง (แกล้ง) เดินปิดตาตลอด แต่ไหน ๆ ไปแล้วทั้งที ก็เปิดตาเดินดูนิดนึงก็ได้ค่ะ เป็นประสบการณ์เสริมความรู้ (เชิงวิชาการจริงๆค่ะ) ส่วนรายละเอียด ต้องเล่าให้ฟังหลังไมค์ค่ะ

นี่คือประสบการณ์การเที่ยวกรุงปารีสแบบพอหอมปากหอมคอ อันที่จริง ผู้เขียนได้ไปผจญภัยอีกหลายแห่งเพราะวันหนึ่ง ๆ ผู้เขียนวิ่งขึ้นวิ่งลงสถานีรถไฟใต้ดินไปที่ต่าง ๆ มากมาย แต่เนื้อที่ในการเขียนไม่อำนวย ถ้าจะให้เล่าจริง ๆ คงจะต้องออกรวมเล่มกันบ้างล่ะค่ะ (เว่อร์ซะ!!) ผู้เขียนได้ใช้เวลา 1 สัปดาห์เต็ม ๆ อย่างคุ้มค่า (แต่ยังไม่ค่อยสาแก่ใจเท่าไหร่ - ใครต้องการไกด์ ชวนไปได้นะคะ ไม่พาหลงทางแน่นอน) ก่อนที่จะแบ่งเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ไปเที่ยว กรุงมาดริด ประเทศสเปน ก่อนจะเดินทางกลับเมืองไทย แล้วจะเขียนมาเล่าให้อ่านอีกนะคะ ตอนนี้ ผู้เขียนขอลาไปก่อน สวัสดีค่ะ